“เขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลา

ถวายพระพรแด่พระเจ้า”

(ลูกา 24:53)

สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กประมาณชั้นประถมปลาย

ข้าพเจ้าเคยนึกขำๆฝันของตัวเอง ข้าพเจ้าฝันว่า

ค่ำคืนหนึ่งในหมู่บ้านของข้าพเจ้า

มีวิญญาณชั่วร้ายกำลังนำกองทัพของมันเข้ามาทำร้ายชาวบ้าน

ในขณะนั้นข้าพเจ้ายังอยู่ในวัด และกำลังรู้สึกกลัวมาก

แต่พ่อแม่พี่น้องของข้าพเจ้าอยู่ที่บ้าน

ข้าพเจ้าต้องกลับไปพาพวกเขาและพากลับมาที่วัดทั้งหมด

คุณพ่อเจ้าวัดไม่ให้พวกเราออกไปจากบริเวณวัด

ไม่ให้เราออกไปจากบริเวณที่พระพรของพระปกปักษ์พิทักษ์รักษาเราอยู่

แต่ข้าพเจ้าต้องไป ต้องไปช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องของข้าพเจ้า

ระหว่างทางจากวัดถึงบ้านข้าพเจ้าต้องผ่านสุสาน

บ้านของข้าพเจ้าอยู่ติดกับสุสานในความเป็นจริงเสียด้วยสิ

ข้าพเจ้ากลัวมาก เพราะในฝันการวิ่งหนีอะไรสักอย่างมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

กว่าจะถึงบ้านข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงความทุลักทุเล ทรมาน และกลัว

ข้าพเจ้าพบแม่เพียงคนเดียวที่บ้าน แม่บอกว่าทุกคนไปที่วัดแล้ว

ข้าพเจ้าจูงแม่วิ่งกลับไปที่วัด ปีศาจแฝงมากับมนุษย์ เดินกันวุ่นวายระหว่างทาง

มันพยายามยื้อ ดึงข้าพเจ้าและแม่ ข้าพเจ้ากลัวหนักมาก

กลั้นหายใจ คิดถึงแม่พระขึ้นมา แล้วจู่ๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกเหมือนเข้าข้างตัวเอง

หลุดเข้ามาในบริเวณวัดอย่างน่าอัศจรรย์

ข้าพเจ้ามองขึ้นไปเหนือหลังคาวัด ข้าพเจ้าพบแม่พระองค์โตสูงท่วมวัด

กำลังยืนกางแขนส่องแสงสว่างแผ่คลุมวัดเอาไว้

แม่พระพยักหน้าให้ข้าพเจ้าเข้าไปในวัด

ในนั้นมีพระรูปพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด

แล้วข้าพเจ้าก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ใจยังเต้นระทึกด้วยความตื่นเต้น ตกใจไม่หาย

ข้าพเจ้าคิดว่า นี่ช่างเป็นฝันร้ายที่แฝงด้วยพระพรเสียจริงๆ

เช่นเดียวกัน ก่อนวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์

พระองค์เสด็จมาหาอัครสาวก เติมความมั่นใจให้พวกเขา

ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

ทรงประทานพระจิตเจ้าผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาให้เสด็จลงมาเหนือพวกเขา

เติมพลัง ความกล้าหาญให้พวกเขาพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับอุปสรรคทุกรูปแบบ

เพื่อนำประชากรของพระเจ้ากลับคืนสู่พระอาณาจักรของพระองค์ให้ได้มากที่สุด

ข้าพเจ้าเตรียมป้ายนิเทศเพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนและผู้ที่ผ่านไปมา

ได้อ่านและตระหนักถึงการเดินทางของบรรดามิชชันนารีสู่สยามประเทศ

ในอดีตเมื่อกว่า 350 ปีที่แล้วมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคริสตชนพึงต้องตระหนักให้มากกว่านั้นอีก

เพราะความยากลำบากในการประกาศข่าวดีของบรรดามิชชันนารีในอดีตนั้น

จึงทำให้มีเราในวันนี้อย่างสวยงามและมั่นคง

ข้าพเจ้าไม่ต้องลำบากตรากตรำจากบ้านจากเมืองไปทำงานของพระเลย

ข้าพเจ้าไม่ต้องออกตามหาลูกแกะจากแหล่งต่างๆ

ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความอดทนมากเท่าใดนักต่อการถูกเบียดเบียนทำร้าย

ในขณะที่มิชชันนารีในอดีตถูกกระทำอย่างหนักหนาสาหัสนัก

ข้าพเจ้ามีลูกแกะตัวน้อยๆในปกครองที่พร้อมจะฟังและเดินตาม

ข้าพเจ้ามีหน่วยงานรองรับการทำงานประกาศข่าวดีอย่างราบรื่น

ข้าพเจ้ามีครอบครัวที่คอยให้กำลังใจในวันที่ข้าพเจ้าท้อแท้หมดแรง

แต่ข้าพเจ้าทำงานเหล่านั้นอย่างจริงจังเพียงใด

ได้ครึ่งหนึ่งของบรรดามิชชันนารีหรือไม่

ข้าพเจ้าคงต้องกลับมาคิดทบทวนตัวเองอีกครั้งหนึ่งเสียแล้ว

เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งบอกกับข้าพเจ้าว่า เธอต้องการล้างบาป

ข้าพเจ้าบอกกับเธอว่า เธอต้องรู้จักพระให้ดีกว่านี้เสียก่อน

เพราะการล้างบาปเธอจะยึดกับตัวบุคคลไม่ได้

เธอจะเปลี่ยนศาสนาเพราะมนุษย์คนใดไม่ได้

เธอต้องยึดกับพระเจ้าเท่านั้น

เด็กหญิงตัวน้อยเรียนคำสอนอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ

ในที่สุด เธอก็ได้ล้างบาปตามที่เธอปรารถนา

ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเธอเสมอ เพราะเธอมุ่งมั่นตั้งใจ เพราะเธอยึดพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

การประกาศข่าวดีจึงมีความจำเป็นยิ่งนักที่เราจะประกาศเรื่องราวของพระคริสตเจ้า

โดยที่เราต้องนบนอบพอที่จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นน้อยๆ

ส่งผ่านพระพร ความรักและพระฉายาลักษณ์ของพระคริสตเจ้าไปยังเพื่อนพี่น้อง

ไม่ใช่เราที่ทำให้ใครต่อใครเปลี่ยนใจมารู้จักและรักพระเจ้า

แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงรักเรา และเพื่อนพี่น้องของเรามาก

พระองค์จึงทรงถ่ายทอดความรักของพระองค์ผ่านเราไปสู่เพื่อนพี่น้องของเรา

“หากไร้พระองค์ ลูกคงไม่อาจทำสิ่งใด” จริงๆ

...ฝากชีวิตไว้ มอบให้พระองค์แลดู...

.....................................