“พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคน

เพื่อประโยชน์ส่วนรวม”

(1 โครินธ์ 12:7)

กล่าวถึงพระพรพิเศษ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า พรสวรรค์

คือพระพรที่ได้รับมาเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลที่แตกต่างกันออกไป

ทำไมเราแต่ละคนถึงต้องมีพระพรที่แตกต่างกัน

ทำไมเราถึงไม่เก่งครบทุกด้าน

เมื่อกล่าวถึงว่าทำไมเราจึงไม่เก่งให้ครบทุกด้าน

ข้าพเจ้าก็คิดถึงกระบวนการทำงานวิจัยที่ข้าพเจ้ากำลังทำอยู่ในขณะนี้ขึ้นมา

เกริ่นถึงงานวิจัยแต่ละชิ้นนั้นกว่าจะสำเร็จได้

ก็ต้องอาศัยความเพียรอดทนอย่างมาก

ในงานวิจัยหนึ่งเล่มมีทั้งองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยมากมาย

แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสัมผัสและได้รับคือ

พระพรที่มาเติมเต็มซึ่งกันและกันในหนึ่งชิ้นงานนั้น

สำหรับข้าพเจ้าพบว่า พระพรแรกของการทำงานวิจัยต้องเริ่มที่ตัวผู้วิจัยเองก่อน

ที่จะเลือกวิจัยในสิ่งที่ตนเองสนใจ และพอจะเห็นผลสำเร็จอยู่บ้างในอนาคต

สิ่งที่ชอบคือสิ่งที่ถนัด และสิ่งที่ถนัดมักจะเป็นพระพรพิเศษของเรา

เมื่อข้าพเจ้าลงมือทำงานวิจัยชิ้นหนึ่ง

ข้าพเจ้าพบว่า นอกจากข้าพเจ้าจะต้องพึ่งพาพระพรของตนเอง

ที่พระจิตเจ้าทรงประทานให้ข้าพเจ้าแล้ว

ข้าพเจ้ายังต้องพึ่งพาพระพรของเพื่อนพี่น้องที่มีพระพรแตกต่างกันออกไปอีกด้วย

เพราะรำพังพระพรของตัวข้าพเจ้าเองก็หาได้กระทำให้งานวิจัยชิ้นนั้นสำเร็จไปได้

ข้าพเจ้าต้องพึ่งพาพระพรพิเศษของบรรดาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน

เพื่อตรวจสอบเครื่องมือวิจัยของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าต้องพึ่งพาพระพรพิเศษของผู้ที่มีความถนัดด้านสถิติ

เพื่อมาช่วยวิเคราะห์ผลงานวิจัยชิ้นนั้น

ข้าพเจ้าต้องพึ่งพาพระพรพิเศษของผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบในการจัดรูปเล่มให้ถูกต้อง

และข้าพเจ้าต้องพึ่งพาพระพรพิเศษของบรรดาคณาจารย์

ที่จะชี้นำทางข้าพเจ้าให้บรรลุเป้าหมายอย่างถูกทิศถูกทาง

งานวิจัยเพียงชิ้นเดียวกลับต้องพึ่งพาพระพรพิเศษของเพื่อนพี่น้องมากมาย

ฉันใดก็ฉันนั้น พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนแตกต่างกัน

ก็เพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน และเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม

ดังนั้น หากเราได้รับพระพรพิเศษใดมากแล้ว

ข้าพเจ้ากลับไม่ใช่พระพรนั้นเพื่อช่วยเหลือ หรือเติมเต็มให้แก่ผู้อื่น

พระเจ้าก็จะทรงริบพระพรนั้นกลับคืนไปเสีย

เพราะพระพรที่ข้าพเจ้าได้รับนั้น เป็นผลงานของพระจิตเจ้า

ไม่ใช่ผลงานของข้าพเจ้าเองเลย

“พระพรพิเศษทั้งมวลเป็นผลงานจากพระจิตเจ้า

พระองค์เดียว” (1 โครินธ์ 12:11)

เพราะเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงระลึกอยู่เสมอว่า

รำพังตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระเจ้า

สิ่งเหล่านี้จะคอยเป็นกรอบให้ข้าพเจ้าไม่จองหองจนเกินไป

สิ่งเหล่านี้จะสอนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้จักความสุภาพ ถ่อมตน

สิ่งเหล่านี้จะคอยป้องกันข้าพเจ้าจากความหยิ่งยโส โอหัง

และดึงข้าพเจ้าให้นบนอบมากพอที่จะพึ่งพาผู้อื่น

และช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเช่นกัน

แม่พระคือแบบอย่างของความสุภาพนบนอบอ่อนหวาน

ในงานมงคลสมรสที่เมืองคานา แคว้นกาลิลี

แม่พระทรงเติมเต็มงานมงคลสมรสให้ราบรื่น

ด้วยสายตาแห่งความใส่ใจในรายละเอียดของบ้านงาน

ในยามที่เหล้าองุ่นจัดเลี้ยงหมดสิ้น  แม่พระขอให้พระเยซูเจ้าทรงช่วยเหลือ

เหล้าองุ่นจากอัศจรรย์ครั้งแรกของพระเยซูเจ้า

เติมเต็มงานมงคลสมรสให้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น สวยงาม

ข้าพเจ้าถามตัวเองว่า ข้าพเจ้าหละ เคยเติมเต็มให้กับใครบ้าง

หันกลับมามองตัวเอง ว่าตัวเราเองคือส่วนที่คอยเติมเต็มคนรอบข้าง

หรือลิดรอนพลังจากคนอื่นหรือเปล่า

พระพร  แห่งพระจิต  ดลบันดาล

ทรงประทาน  กิจการ  งานสร้างสรรค์

แต่ละคน แม้พระจิต  องค์เดียวกัน

พระพรนั้น  กลับแตกต่าง  กันออกไป

บ้างเก่งคิด  บ้างเก่งงาน  การสันต์สร้าง

พระทรงวาง  แผนการ  ความรักไว้

ให้พระพร  ที่แตกต่าง  นำทางไป

นำใส่ใจ  ให้ช่วยเหลือ  เกื้อกูลกัน

.....................................

S