“ทรงใช้น้ำชำระเราให้สะอาด”

(ทิตัส 3:5)

ร่างกายของมนุษย์มีน้ำเป็นองค์ประกอบเกือบร้อยละ 70 ของร่างกาย

และการค้นพบน้ำที่ใดสักแห่งก็หมายถึงการค้นพบสิ่งมีชีวิตด้วยเช่นกัน

เพราะทุกชีวิตล้วนต้องการน้ำในการดำรงชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์  พืช  สัตว์  แบคทีเรีย หรือไวรัส

สำหรับมนุษย์นอกจากร่างกายจะประกอบไปด้วยน้ำในการหล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว

น้ำยังเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอยู่อีกด้วย

ทั้งในการชำระล้างร่างกาย เสื้อผ้า  หล่อเลี้ยงชีวิต

มนุษย์สามารถดำรงชีวิตโดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์

ในขณะที่สามารถขาดอาหารได้นานกว่านั้น

น้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการมีชีวิตอยู่

สำหรับคริสตชน  น้ำเป็นตัวแทนของการเกิดใหม่ในพระเจ้า

ผ่านการชำระล้างความแปดเปื้อนสกปรกของวิญญาณโดยการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้า

โดยทางศีลล้างบาป ซึ่งจะนำคริสตชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพระอาณาจักรสวรรค์

“เราจึงเกิดใหม่และได้รับการฟื้นฟูโดยพระจิตเจ้า”

(ทิตัส 3:5)

ข้าพเจ้าเคยอ่านการทดลองเกี่ยวกับผลึกน้ำในสถานที่ต่างๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป

เช่น ผลึกน้ำที่อยู่ในวัดที่มีคนสวดมนต์ จะมีลักษณะสวยงาม เรียงตัวกันเป็นระเบียบ

กับผลึกน้ำที่อยู่ตามชุมชนที่เต็มไปด้วยเสียงด่าทอ ก็จะมีลักษณะแตกตัว ไม่สวยงาม

มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการทดลองชิ้นนี้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม

สิ่งที่บ่งบอก หรือเป็นสัญญาณการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคมโลก

พบว่า มนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะมองลบมากกว่ามองบวกเพิ่มขึ้น

มีความรู้สึกต่อต้าน มั่นใจในตนเอง ขาดความสุภาพนบนอบมากขึ้น

มีความแก่งแย่งชิงดี  ดิ้นรนแข่งขัน  ใช้ชีวิตทะเยอทะยานมากขึ้น

หากแต่การมองบวกผ่านการพูดในสิ่งที่ดี สร้างเสริมกำลังใจให้กัน

เกื้อกูลกัน  เดินให้ช้าลง เพื่อจะมองดูคนข้างทางที่กำลังหกล้มบ้าง

ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ในยุคเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้

บางทีข้าพเจ้าก็รู้สึกตัวเองในวันที่เหนื่อยล้าเช่นกันว่า

ทำไมข้าพเจ้าต้องดิ้นรน กระเสือกกระสนขนาดนี้ด้วย

และเมื่อข้าพเจ้าพบว่าตัวเองกำลังก้าวกระโดดมากเกินไป

ข้าพเจ้าก็จะพยายามรีบหยุดตัวเองให้ช้าลง

ข้าพเจ้ารู้ตัวอย่างไรว่าตัวเองกำลังก้าวกระโดด

เพราะข้าพเจ้าเห็นเพื่อนกำลังทุกข์แล้วข้าพเจ้าไม่มีเวลาหรือพลังที่จะปลอบโยน

เพราะข้าพเจ้าเห็นคนกำลังหกล้ม หรือถูกเหยียบย่ำ ข้าพเจ้ากลับยืนดูอย่างเปล่าดาย

เพราะข้าพเจ้าเห็นความอยุติธรรมอยู่เบื้องหน้า แต่ข้าพเจ้าก็นิ่งเฉย

เพราะข้าพเจ้าเห็นโอกาสที่จะได้ทำสิ่งที่ดีแต่ข้าพเจ้าอ่อนล้าเกินจะที่จะทำ

ข้าพเจ้าเสียโอกาสที่จะรักและรับใช้ผู้อื่นเพราะสายตาที่มองลบ

และกิจการทางโลกที่วุ่นวายเบียดเบียนหัวใจแห่งรักเพื่อเพื่อนมนุษย์ไปสิ้น

“พี่น้อง พระหรรษทานของพระเจ้าปรากฏขึ้นเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น

สอนเราให้ละทิ้งอธรรม และโลกียตัณหา

เพื่อดำเนินชีวิตอย่างมีสติสัมปชัญญะด้วยความชอบธรรม

และด้วยความเคารพเลื่อมใสพระเจ้าในโลกนี้”

(ทิตัส 2:11-12)

มีเยาวชนมากมายกำลังไร้ศาสนา

พวกเขาไม่เชื่อในคำสอน ข้อปฏิบัติทางศาสนา

พวกเขามองศาสนาเป็นความงมงาย ไร้สาระ

ย้อนกลับไปดูพื้นฐานทางความคิดของพวกเขา

พวกเขาอยู่ในสังคมที่ยึดตัวตนของตนเป็นหลัก

มองเป้าหมายของชีวิตคือการแสวงหาความสุข ความสำเร็จให้แก่ตัวตน

มีความมั่นใจในตนเองสูง  และลืมมองบุคคลที่ต่ำต้อยกว่าตน

ลืมหยิบยื่นความรัก ความเข้าใจให้คนรอบข้าง

และคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครหรือเพื่ออะไร

วัยรุ่นชายหนึ่งบอกกับข้าพเจ้าว่า เขาไม่มีศาสนา

เขาไม่เชื่อในศาสนาใดใดเลย  เพราะเขาเห็นว่ามันดูจะงมงาย และไร้สาระ

เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ

ไม่เคยสนใจว่าการกระทำนั้นจะเดือนร้อนใครหรือไม่ก็ตาม

สิ่งไหนที่ทำแล้วไม่สนุก ไม่สุขใจ ก็ไม่ทำ

ข้าพเจ้านึกเป็นห่วงเยาวชนอีกหลายชีวิตที่มีความคิดเช่นนี้

พวกเขาไม่เคยได้รับการปลูกฝังให้เข้าวัดฟังธรรม

ไม่เคยถูกหล่อหลอมในสภาพแวดล้อมที่อบอวลไปด้วยข้อคำสอนทางศาสนา

จะโทษใครได้ นอกจากโทษบิดามารดาของพวกเขาเองนั่นแหละ

สิ่งเหล่านี้สามารถหล่อหลอมได้ถ้าสถาบันครอบครัวเห็นคุณค่าของศาสนา

และให้คำสอน หรือข้อปฏิบัติทางศาสนาที่เป็นแก่นแท้ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิต

ดั่งหยาดน้ำ  ฉ่ำชื่น  ระรื่นจิต

เลี้ยงชีวิต  หล่อชีวัน  ให้สดใส

ล้างมลทิน  บาปสิ้น  ไปจากใจ

ชีวิตใหม่  พระให้  ได้เบิกบาน

.....................................

S