โอ้พระเจ้า โปรดเมตตา  ตัวข้าด้วย

ใจข้าป่วย โปรดช่วยข้า  คราล้าอ่อน

ดวงตาข้า  มืดมิด  จิตราญรอน

โปรดอาทร  วอนเอ็นดู  กรุณา

เปิดดวงตา ของข้า  รักษาให้

เปิดดวงใจ  ให้สว่าง  กระจ่างจ้า

รับพระจิต ของพระเจ้า  เข้าเยียวยา

โปรดรักษา  ข้าด้วย  ช่วยบรรเทา

.......................

พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า

“ไปเถิด ความเชื่อของท่านได้ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว”

ทันใดนั้น เขากลับแลเห็นและเดินทางติดตามพระองค์ไป

(มาระโก 10:52)

บารทิเมอัส ขอทานตาบอดที่มีความเชื่อเต็มเปี่ยม

คงไม่มีอะไรสร้างความทุกข์ยากมากไปกว่านี้แล้วสำหรับเขา

ที่ต้องมานั่งขอทานและซ้ำร้ายตาบอด

แค่เขาได้ยินเสียง และรับรู้ว่าพระเยซูเจ้าเดินทางผ่านมา

เขาก็พยายามที่จะเข้าถึงพระองค์แม้จะถูกคนรอบข้างดุก็ตาม

????????

ฉันเคยได้พยายามจะนำเสนอโครงการหนึ่งให้กับผู้บริหาร

ด้วยฉันรู้สึกว่าอยากพัฒนางานขององค์กรให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

และจุดประสงค์ที่แท้จริงขององค์กรที่ตนอยู่

แต่ผู้บริหารท่านหนึ่งกลับไม่นำเรื่องของฉันเข้าที่ประชุม

ด้วยเหตุผลที่ว่า มันยังไม่สำคัญมากพอ

ไฟในดวงใจของฉันที่ลุกโชนและสมองของฉันที่กำลังวางแผนงาน

กลับค่อยๆริบหรี่ลง  จนฉันคิดว่ามันคงจะมอดดับในไม่ช้า

ฉันไม่ดึงดัน ไม่ยื้อ ไม่ถาม ไม่เซ้าซี้ที่จะให้เกิดโครงการนี้อีกต่อไป

แต่ความไม่ดึงดัน ไม่ยื้อ ไม่ถาม ไม่เซ้าซี้ของฉัน

มันมาพร้อมกับความเย็นชาในดวงใจที่กำลังอยากพัฒนางาน

แล้วถูกลิดรอนคุณค่าความคิดอย่างไร้เยื้อใย

ฉันแอบคิดเตลิดไปจนถึงว่า ฉันควรจะทำงานแบบขอไปที มีอะไรก็ทำเท่าที่มีหรือไม่

มันจะไม่เจ็บตัวเจ็บใจเช่นนี้เป็นแน่

หรือบางทีฉันก็คิดว่าหากฉันลาออกจากงานนี้

ฉันอยากจะไปใช้ชีวิตแบบหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งก็คงพอ

ไม่ต้องมาคิดสร้างสรรค์เพื่อใคร ไม่ต้องต่อสู้กับความผิดหวังซ้ำๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ในช่วงพักของการอบรมออนไลน์

ซิสเตอร์ท่านหนึ่งได้ชวนสมาชิกที่เข้าห้องอบรมก่อนเวลา สนทนาพูดคุยเรื่องอื่นๆ

จู่ๆท่านก็กล่าวขึ้นในห้องอบรมออนไลน์ว่า

ถ้าคุณนำเสนองานให้ผู้บริหารแล้วเขาไม่สนใจ

คุณต้องเข้าไปถามซ้ำๆ เซ้าซี้ไปเรื่อยๆ ให้มันรู้ไปว่าเขาจะไม่ใจอ่อน

บทสนทนาของซิสเตอร์ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงชายคนหนึ่ง

ที่มาขอขนมปังยามวิกาลแก่เพื่อนบ้าน

และเพื่อนบ้านไม่เปิดประตูหยิบยื่นสิ่งที่เขาขอให้

เขาก็พากเพียรที่จะขอ จนเขาได้รับในสิ่งที่ขอนั้น

ไม่ว่าจะด้วยความสงสาร หรือความรำคาญของเพื่อนบ้านก็ตาม

แต่เขาก็ได้รับในสิ่งที่เขาขอ

เช่นเดียวกันกับขอทานตาบอด เขาไม่สนใจต่อคำดุว่าของคนรอบข้าง

เขาพยายามตะโกนเรียกพระเยซูเจ้าให้เห็นเขา

ให้เขาได้มีโอกาสอยู่ในสายตาของพระองค์

ฉันรู้ว่าตัวเองมีความเชื่อที่อ่อนแอ ไม่พร้อมจะยืนยันต่อสู้เพื่อสิทธิใดๆ

แต่เสียงเรียกเตือนผ่านพระวาจา ผ่านประสบการณ์ ผ่านผู้คนรอบข้าง

จะคอยจุดไฟในใจของฉันให้กลับมาสว่างไสวได้อีก

แม้ตอนนี้ฉันจะยังรู้สึกลังเลในใจก็ตาม

แต่มันก็ยังดีกว่าเมื่อวานนี้ที่ฉันรู้สึกทดท้อและดวงใจมืดมิดไป

แม้ดวงตาของฉันจะไม่เคยบอด

แต่ดวงใจของฉันก็แอบมืดบอดอยู่บ่อยๆ ด้วยความอ่อนแอฝ่ายกายและใจ

ฉันมีความหวังว่า วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป ฉันควรจะมีพลัง

และมีแสงสว่างในดวงใจที่ส่องไสวชัดเจนยิ่งขึ้น

พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างอดทน

“เขาทั้งหลายกลับมาด้วยน้ำตานองหน้า

เราจะนำเขากลับมาด้วยความเมตตาสงสาร

เราจะนำเขาให้เดินไปยังธารน้ำ

ให้เดินไปทางตรงที่จะไม่สะดุด”

(เยเรมีย์ 31:9)

.....................................