ชายผู้นั้นทูลว่า “พระอาจารย์

ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว”

พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู

(มาระโก 10:20-21)

ข้าพเจ้าประทับใจประโยค

“พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู”

(Then Jesus beholding him loved him)

ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอบอุ่นกับคำภาษาไทยหลายคำ

ที่ฟังทีไรก็รู้สึกลึกซึ้งเข้าไปถึงแก่นใจจริงๆ

ในขณะที่พระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู(ด้วยความรัก)

เป็นความรักที่คงมองด้วยความเอื้อเอ็นดูและอยากจะให้เราได้แต่สิ่งดีงาม

พระองค์ทรงพยายามเติมเต็มในส่วนที่เราบกพร่องหรือขาดหายไป

พระองค์ทรงมองเราด้วยดวงตาแห่งความรัก

และเชื้อเชิญเราให้ติดตามพระองค์

อาจจะด้วยกิจการเล็กๆน้อยๆที่เราทำเพื่อผู้อื่นในแต่ละวัน

หรือหากกิจการใดยากเกินกำลังของเรา

เราก็ฝากกิจการนั้นไว้ให้พระองค์ทรงนำทางเรา เพราะ

“สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าเป็นเช่นนั้นได้

เพราะพระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง”

(มาระโก 10:27)

สายพระเนตรที่มองมาอย่างเอื้อเอ็นดูเต็มไปด้วยความรัก

ที่ปรารถนาจะให้มนุษย์เดินในหนทางที่ถูกต้องดีงามเสมอ

และแม้มนุษย์จะปฏิเสธเส้นทางนั้นด้วยความอ่อนแอ

แต่พระองค์ก็ทรงมอบเส้นทางพิเศษให้อีก

นั่นคือความไว้วางใจในพระเจ้า ที่ทุกๆสิ่งสามารถเป็นไปได้

ข้าพเจ้ามีความละเอียดและค่อนข้างไวต่อความรู้สึกของผู้คนรอบข้าง

ดังนั้น เมื่อใครรู้สึกอย่างไรข้าพเจ้าจึงสามารถอ่านได้จากสีหน้าและแววตาของพวกเขา

แม้ประสบการณ์จะสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักที่จะวางเฉย

กับบางความรู้สึกของผู้อื่นที่อาจจะทำให้ข้าพเจ้าติดลบบ้างก็ตาม

และในอดีตความรู้สึกเช่นนี้อาจจะทำให้ข้าพเจ้าดูอ่อนแอ

แคร์ผู้คน แม้แต่สายตาที่จ้องมองมายังข้าพเจ้า

มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นผลดีต่อข้าพเจ้านักในบางเวลาที่ข้าพเจ้าควรจะวางเฉย

แต่ข้าพเจ้ากลับดิ้นรนวุ่นวายใจว่าใครต่อใครจะคิดอย่างไรกับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจึงพยายามพัฒนาตนเองเสียใหม่

ให้มีสายตาที่ไวและละเอียดพอสำหรับความรักที่ผู้คนรอบข้างมอบให้

และให้ช้าต่อความรู้สึกทางลบของผู้คนรอบข้างเช่นกัน

ข้าพเจ้ามองเห็นสายตาที่อ่อนโยนและเอื้อเอ็นดูข้าพเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น

ข้าพเจ้ามองเห็นสัมผัสของความรักจากผู้คนรอบข้างมากขึ้น

ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าก็มีมากพอที่จะแบ่งปันออกไป

สายตาที่อ่อนโยนและเอื้อเอ็นดูที่ข้าพเจ้าได้รับมา

มีไว้เพื่อผู้คนรอบข้างที่กำลังอ่อนแรง ทดท้อ ร้างไร้และสิ้นหวัง

ข้าพเจ้าใช้ใจมองดูตนเองและผู้คนรอบข้างมากขึ้น

อย่างที่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักมอง

ทั้งผู้ร่ำรวยและยากจนด้วยความรักอย่างเท่าเทียมกัน

รู้จักมองดูตนเองว่าจะเสียสละสิ่งใดสำหรับใครได้บ้าง

มีพระพรใดบ้างที่สามารถหยิบยื่นให้ผู้อื่นได้

..................

ในวิชาเลือกเสรีที่มีผู้ลงทะเบียนเกินจำนวนที่กำหนด

ข้าพเจ้าจึงคิดว่าตนเองควรจะเปลี่ยนวิชาเพื่อให้สิทธิ์เพื่อนคนอื่นๆ

แม้ในใจจะรู้สึกเสียดายอย่างมากก็ตาม

อาจารย์ประจำวิชามองมายังข้าพเจ้า

ด้วยสายตาของความรักและเอื้อเอ็นดู บอกกับข้าพเจ้าว่า

“หนูไม่ควรเปลี่ยนวิชา อาจารย์อยากให้หนูลงวิชานี้

อาจารย์มั่นใจว่าหนูเหมาะสมกับวิชานี้มาก”

และวิชานี้นี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้นำกิจกรรมสำหรับเพื่อนๆสมาชิกทุกคน

เพราะสายตาที่เอื้อเอ็นดูให้โอกาสของอาจารย์ที่มีต่อข้าพเจ้า

ทุกสายตาเอื้อเอ็นดูย่อมแฝงไปด้วยความปรารถนาดี หวังให้ข้าพเจ้าได้ดี

ข้าพเจ้าจึงเรียนรู้ที่จะหยิบยื่นโอกาส และสายตาเอื้อเอ็นดูเช่นเดียวกันนี้

สำหรับเพื่อนพี่น้องรอบข้างที่ข้าพเจ้าได้ร่วมประสบการณ์ชีวิตด้วยกัน

และแม้ข้าพเจ้าจะไม่สามารถสละทุกสิ่งได้เพราะความอ่อนแอของชีวิตมนุษย์

เช่นเดียวกับเศรษฐีคนนั้นที่ต้องเดินจากไปอย่างเป็นทุกข์เพราะสมบัติมากมายที่ตนมี

แต่ข้าพเจ้าก็จะพยายามติดพระเยซูเจ้าไปทุกที่ ทุกเวลา

สุดความสามารถที่สามารถจะไปได้ด้วยความมั่นใจว่า

พระองค์จะทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ในทุกกิจการแห่งรักของข้าพเจ้า

และข้าพเจ้าก็ยินยอมให้พระองค์ตีสอน ตักเตือนในเวลาที่ข้าพเจ้าผิดพลาดหลง

เดินในเส้นทางของความหม่นดำแห่งบาปร้าย

ด้วยสายตาแห่งความรัก

เฝ้าปกปักษ์พิทักษ์คุ้ม

เพราะพระองค์ทรงโอบอุ้ม

ภัยร้ายรุมพระคุ้มกัน

มีพระองค์ทรงนำทาง

ลูกจะวางทุกสิ่งสรร

ก้าวตามองค์พระทรงธรรม์

สู่สวรรค์แสนสุขใจ

.....................................