“ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านปราศจากความกังวล”

(1โครินธ์7:32)

นักบุญเปาโลเตือนใจพี่น้องคริสตชนให้ดำเนินชีวิตโดยปราศจากความกังวล

หรือสาละวนอยู่กับกิจการของโลกนี้มากจนเกินไป

จนลืมแบ่งเวลาให้วิญญาณได้ฟื้นฟูตัวเอง

เข้าเงียบชีวิตฝ่ายวิญญาณ ฟังเสียงของพระเจ้าบ้าง

มีหลายๆคนกล่าวไว้ว่า เรามี 24 ชั่วโมงต่อวันเท่าๆกัน

อยู่ที่ว่าเราเอา 24 ชั่วโมงนั้นไปทำอะไร  เพื่อใคร  และได้ประโยชน์อันใด

บางครั้งในช่วงเวลาชีวิตก็สอนข้าพเจ้าว่า

การทุ่มเทจริงจังให้กับความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน

จนลืมแบ่งเวลาให้กับความสงบร่มเย็นของวิญญาณ

ก็ทำลายชีวิตฝ่ายกายและจิตใจไปไม่น้อยเลยทีเดียว

บางคนมีเงินทองไม่มากมาย อยู่อย่างพอมีพอกิน

แต่เขากลับมีชีวิตที่ดูร่มเย็น เป็นสุข ทั้งสุขภาพกายและใจ

การแบ่งเวลาให้สมดุลในการดำเนินชีวิต

ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต จึงมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์แต่ละคน

มีผลต่อสุขภาพกายและจิตอย่างแท้จริง

คริสตชนใช้เวลาในวันอาทิตย์อย่างน้อยก็ครึ่งวันในการเดินทางและไปร่วมมิสซา

แต่คริสตชนบางคนกลับเย็นชา

คิดว่าการเดินทางไปร่วมมิสซาและอยู่ร่วมในพิธีจนจบนั้นเป็นการเสียเวลา

แต่น่าแปลก เวลาที่เราใช้เท่าๆกัน

เรากลับเห็นคุณค่าของกิจการสำคัญที่จะสูญเสียไปกับเวลานั้นๆ

ไม่เหมือนกันเลย

เราสามารถสูญเสียเวลาไปกับการ เที่ยว เล่น กิน ดื่ม หาความสุขให้ชีวิตฝ่ายกาย

จนละเลยการสละเวลามาเยียวยาชีวิตฝ่ายจิต

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดวิถีชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้

จึงเต็มไปด้วยมลพิษทางจิตวิญญาณ

หลายคนไร้ศาสนา มองเห็นศาสนาเป็นเพียงกลอุบายให้ทำความดีเท่านั้น

เด็กชายอายุราว 13 ปี มีเพื่อนนับถือศาสนาคริสต์แต่ครอบครัวทิ้งวัดกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า

ครูรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และใครเป็นผู้สร้างพระเจ้ามา

คำถามนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ต้องการเอาชนะมากกว่า

และเด็กชายผู้เป็นคริสตชนกล่าวสมทบเพิ่มเติมว่า

ใช่ ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าพระเจ้ามีจริง เพราะผมอยู่ลัทธิซาตาน

แม้ข้าพเจ้าจะรู้สึกผิดหวังในคำพูดของเด็กชายทั้ง 2 คนนี้มาก

แต่ข้าพเจ้าก็พยายามที่จะเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

ข้าพเจ้าบอกกับเด็กชายว่า แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาลูกมีความสุขกับการใช้ชีวิตหรือไม่

เด็กชายบอกว่าก็ไม่เห็นมีความสุขเลย

(ข้าพเจ้ารับรู้มาตลอดว่าเด็กชายมีปัญหาบางอย่างในชีวิต

เมื่ออยู่ประถม เขาร้องไห้ไม่ยอมเข้าชั้นเรียน เพราะเข้ากับเพื่อนไม่ได้

เกาะแม่แน่น และมักจะสบถคำไม่สุภาพออกมาเมื่อถูกกดดัน)

ข้าพเจ้าบอกกับเด็กชายว่า ลูกชอบอยู่ในที่มืดหรือที่สว่างหละ

เด็กชายบอกก็ต้องที่สว่างสิครู

นั่นสินะ ที่สว่างมันทำให้เรารู้สึกปลอดภัย  เราสามารถมองเห็นภาพที่แท้จริงชัดเจน

แต่ที่มืดน่ากลัว เราไม่เห็นภัยอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามาหาเราเลย

ถ้าลูกต้องการอยู่ที่สว่าง ลูกก็ต้องเดินออกจากที่มืด

และเดินไปหาที่สว่างให้พบ ลูกจะรู้ว่าที่สว่างนั้นเป็นอย่างไร

ครูรู้ว่าลูกรู้ว่าซาตานชอบที่มืดๆ ที่ลับๆ แต่พระเจ้าเป็นความสว่าง

ลูกเป็นลูกของพระตั้งแต่เกิด แต่ซาตานมันดึงลูกไปหาที่มืด

ไม่ว่าจะต้องเหตุการณ์ใดๆในชีวิต

ลูกก็รู้ว่าลูกไม่เคยพบความสุขบนหนทางมืดที่ลูกเดินเลยไม่ใช่หรือ

ลูกต้องพาตัวเองออกมาหาที่สว่าง และไม่พาเพื่อนลงไปยังที่มืดด้วยเช่นกัน

เด็กชายดูเหมือนจะมีแววตาอ่อนโยนขึ้น

แต่...เพียงคำพูดของข้าพเจ้าจะไม่สำคัญใดๆเลย

ถ้าครอบครัวยังไม่เห็นความสำคัญของศาสนกิจหรือข้อคำสอนทางศาสนา

เมื่อเขากลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว

เขาก็มีใจโน้มเอียงเข้าหาที่มืดมิดอีกเช่นเคย

ข้าพเจ้าทำได้เพียงพยายามกล่อมเกลา ให้แบบอย่างด้วยความรัก

และมอบภาระอันยากเย็นนี้ไว้ในความช่วยเหลือของพระเจ้า

“พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้””

(มาระโก 1:25)

ขอพระเจ้าทรงเมตตาเด็กๆเยาวชนให้ค้นพบหนทางสว่าง

ที่จะนำพาชีวิตของพวกเขาให้เดินไปในหนทางที่ดีและถูกต้องเสมอด้วยเทอญ

.....................................