“ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์

แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้ว ก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน”

(ลูกา 6:40)

เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

ข้าพเจ้าเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่อ่อนแอ ขี้แย น่ารำคาญ

และข้าพเจ้ามักจะถูกรังแกจากเพื่อนที่รู้สึกรำคาญในความอ่อนแอข้าพเจ้า

ซึ่งข้าพเจ้าก็เข้าใจในความน่ารำคาญนี้ดี

แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถจัดการพฤติกรรมน่าเบื่อของตนเองเช่นนี้ไปได้เลย

ในช่วงเวลานั้น อาจารย์หญิงท่านหนึ่ง

ท่านชื่อว่า อาจารย์วิจิตร  ตั้งวัฒนารัตน์  ก็เข้ามามีบทบาทในชีวิตข้าพเจ้า

ท่านมีบุคลิกลักษณะที่อ่อนโยนแต่มีพลังอำนาจในความอ่อนโยนนั้น

ท่านใช้ความอ่อนโยนเข้ามาใกล้ชิดและสอนให้ข้าพเจ้าเข้มแข็งยิ่งขึ้น

ท่านสอนข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าไม่จำเป็นจะต้องเข้มแข็งมากมาย

แต่ค่อยๆ เข้มแข็งในเรื่องเล็กๆน้อยๆก่อน

เช่น เมื่อถูกเพื่อนว่า หรือถูกรังแก ให้พยายามให้อภัย และรักเพื่อนคนนี้ให้มากๆ

อย่าร้องไห้ในเรื่องเล็กๆ ทำดีกับคนที่ไม่น่ารักต่อเรา

แล้ววันหนึ่งเขาจะเรียนรู้ความรักที่เรามีเผื่อแผ่ไปถึงเขาเอง

และในพลังอำนาจแห่งความรักของท่านอาจารย์ก็ทำให้เพื่อนที่รังแกข้าพเจ้า

เข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคลระหว่างข้าพเจ้าที่อ่อนแอ กับเขาซึ่งเข้มแข็งกว่า

บุกคลิกลักษณะของอาจารย์ท่านนี้ทำให้

ข้าพเจ้าอยากมีภาพลักษณ์เช่นอาจารย์ท่านนี้ต่อคนรอบข้างเช่นกัน

นั่นคือความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล

ความรักแท้ที่พร้อมจะให้อภัยทุกอย่างแม้แต่คนที่ไม่น่ารักต่อเรา

ข้าพเจ้าได้รับข้อคิดเรื่องความรักไว้ว่า

การรักศัตรู หรือรักคนที่ไม่น่ารัก

ไม่ใช่ความรักที่เราจะรักแบบรักพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนพ้องที่เรารัก

เพราะนั้นคือเขารักเรา และเรารักเขา มีความรักเป็นสื่อกลางทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว

ความรักในภาษากรีกแยกออกเป็น ความรักฉันท์สามีภรรยา 

ความรักแบบพ่อแม่ พี่น้อง  เพื่อนพ้อง และความรักแบบพระเจ้า

ซึ่งความรักตามแบบอย่างพระเจ้า หรือ Agape (อากาเป)

เป็นความรักที่ให้อภัยได้แม้คนที่ไม่น่ารัก

เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงให้อภัยผู้ที่ทำร้ายพระองค์

เมื่อข้าพเจ้าเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา

ข้าพเจ้าได้สัมผัสอาจารย์อีกท่านหนึ่ง

ท่านชื่อว่า อาจารย์ศยามน   อินสะอาด

การเรียนรู้ที่ข้าพเจ้าเคยรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ เข้าใจยาก และไม่สนุกเอาเสียเลย

ที่ต้องมานั่งฟังบรรยายวิชาละ 4 ชั่วโมง วันละ 2 วิชา รวม 8 ชั่วโมงต่อวัน

แต่ ในวิชาของอาจารย์ท่านนี้

ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ

กับคำพูดเชิงบวกของอาจารย์ทุกคำในขณะทำการสอน

การติดต่อสื่อสาร การเข้าถึง และความสนิทสัมพันธ์ต่อศิษย์ทุกคนในทุกช่องทาง

ความเอาใจใส่  ความเข้าใจในความแตกต่างของศิษย์แต่ละคน

คำกระตุ้นเตือนให้มีพลังในการเริ่มต้นใหม่ในวันที่ท้อแท้

ข้าพเจ้ายังรู้สึกแปลกใจว่าท่านอาจารย์เอาพลังมหาศาลนี้มาจากไหน

ที่จะมาเอาใจใส่รายละเอียดของศิษย์เป็นรายบุคคลเช่นนี้

แบบอย่างของท่านอาจารย์ นอกจากการได้รับความรู้ในเรื่องที่เรียนรู้แล้ว

ข้าพเจ้าก็ยังได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตให้มีคุณค่าต่อผู้อื่นด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีชีวิตให้เป็นแบบอย่างต่อเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบตัวเรา

การใช้คำพูดเชิงบวก  เชิงสร้างสรรค์สร้างพลังชีวิตเพื่อเพิ่มเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ดีดีที่ข้าพเจ้า

ได้รับมาจากอาจารย์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่งมาให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ความรักบนโลกใบนี้

และสำคัญยิ่ง อาจารย์แห่งอาจารย์ที่กล่อมเกลาข้าพเจ้า

ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่มีตัวตน

ทรงปั้นข้าพเจ้ามาด้วยความรัก   ใส่ความอ่อนโยนลงในใจข้าพเจ้า

และให้พระพรพิเศษแก่ข้าพเจ้าชดเชยความอ่อนแอที่ข้าพเจ้ามี

ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกเกลียดตัวเองในความบกพร่องบางอย่าง

และพยายามเข้าใจในความบกพร่องบางอย่างของคนอื่นๆด้วย

เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน

ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แต่ความสมบูรณ์เกิดจากการเติมเต็มซึ่งกันและกันจริงๆ

แม้ว่าในชีวิตจริง  เราอาจจะคอยตัดสินพฤติกรรมคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ

และสังคมเองก็สอนให้เราตัดสินคนอื่นอยู่เสมอ

คำสอนของพระเจ้าจะคอยตะล่อมเราให้ไม่ออกนอกกรอบของความยุติธรรม

เพราะหน้าที่ตัดสินไม่ใช่ของเรา เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

“ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง

แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย”

(ลูกา 6:41)

ต้นไม้ใด  ให้ผลดี  ทวีเลิศ

ย่อมประเสริฐ  เกิดดอกผล  ออกล้นหลาม

ให้อิ่มหมี  พีมัน  กันทุกยาม

ต้นไม้งาม  ตามวิถี  คนดีเอย

“เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้น ได้จากผลของต้นไม้นั้น”

(ลูกา 6:44)

.....................................