“อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน”

(ลูกา 6:37)

ข้าพเจ้าได้ฟังเพลงๆ หนึ่ง ชื่อเพลง “ปล่อย”

ของคุณอ้น ธวัชชัย ชูเหมือน  ท่อนหนึ่งของบทเพลงขับร้องไว้ว่า

“ใครจะเมินใครจะมองใยจะต้องไหวหวั่น ใครจะใส่ร้ายกันใยจะต้องสนใจ

ใครจะดีใครจะเลวมันก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาเราใยจะต้องทุกข์ใจ

ใครจะล้อใครจะด่าใยจะต้องว่าตอบ ใครไม่สนใครไม่ชอบใยจะต้องใส่ใจ

ใครจะคิดใส่ความใยจะต้องวุ่นจิต หากตัวเราไม่ผิดจะไปคิดทำไม...”

ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกเลยที่เป็นที่รักของทุกๆคน

แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็รู้ตัวดีว่าข้าพเจ้าเองก็มีคนไม่พึงใจอยู่เช่นกัน

ข้าพเจ้าจำได้ว่า เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่แสดงความรู้สึกรำคาญข้าพเจ้ามาก

ด้วยความที่ข้าพเจ้าดูอ่อนแอ  ขี้แย  ร่ำไร ขี้ขลาด

ซึ่งด้วยความแตกต่างกันทางบุคลิกภาพก็ยังทำให้คนเราเกลียดกันได้

แต่ในสมัยยังเด็กจนถึงสมัยเยาว์วัย เราถูกเกลียดเราก็รู้ว่าเราถูกเกลียด

ผิดกับช่วงชีวิตในวัยทำงาน

เราอาจถูกเกลียดโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ ในขณะที่เราหันหน้ามายิ้มให้กัน

เราไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าคนตรงหน้าเรา ยิ้มให้เราด้วยความรักหรือด้วยความเกลียด

จึงไม่แปลกที่เพื่อนๆหลายคนมักจะโพสต์เสมอๆว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ

หรือ อย่าใส่หน้ากากหากัน เป็นต้น

อาจจะเพราะเขาเคยถูกทำร้าย

ซึ่งส่วนใหญ่การทำร้ายกันในวัยนี้มักจะเป็นการทำร้ายกันทางด้านจิตใจมากกว่า

ข้าพเจ้าเองก็เคยถูกทำร้ายประเภทนี้บ่อยมาก

ด้วยความที่ข้าพเจ้าคิดช้า ประมวลผลว่าควรต่อสู้อย่างไรช้า

จึงมักกลับมานั่งเจ็บใจตัวเองอยู่เสมอ

แต่ เมื่อกลับมาทบทวนดูแล้ว การที่ข้าพเจ้าคิดช้าต่อการกระทำประเภทนี้แล้ว

มันจะทำให้การกระทบกระทั่งกันลดน้อยลง มันก็ดีมิใช่หรือ

ข้าพเจ้าเคยถูกเอารัดเอาเปรียบ  เคยถูกขโมยผลงาน เคยถูกทำร้ายด้วยคำพูดมาเยอะ

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยๆสอนให้ข้าพเจ้าระมัดระวังตนเองมากยิ่งขึ้น

ที่จะไม่ทำร้ายผู้อื่นเช่นที่ข้าพเจ้าโดนกระทำมา

และพยายามที่จะให้อภัยผู้ที่คิดทำร้ายข้าพเจ้า

เพราะหน้าที่การตัดสิน และการลงโทษเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และมันก็จะเป็นจริงตามนั้น

เมื่อกล่าวถึงการถูกขโมยผลงาน แรกๆ ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธ

และไม่เข้าใจในความขี้โกงของคนประเภทนี้เลย

แต่เมื่อข้าพเจ้ากลับมานั่งทบทวนดูแล้ว

หากเขามีสมองที่สามารถคิดเองได้ เขาจะไม่ทำเช่นนั้น

แต่เขาไม่มี เขาจึงต้องทำเช่นนั้น

แม้ผลงานเราอาจจะถูกขโมยไป แต่สมองของเรายังอยู่ เราจะกลัวอะไร

ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงต้องมีพระวาจาที่จะคอยประคับประคองชีวิตข้าพเจ้า

ให้รู้จักมองบวกในทุกๆกิจการของชีวิต ซึ่งจะคงชัดเจนขึ้นเสมอ

“จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน”

(ลูกา 6:27)

และ “จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน”

(ลูกา 6:37)

เพราะ “ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร”

(ลูกา 6:32)

เหตุเพราะข้าพเจ้ามีพระบิดาเจ้าผู้ทรงเป็นแบบอย่างของความเมตตากรุณา

และทรงให้อภัยเสมอ แม้ในวันที่ข้าพเจ้าผิดพลาดจนเกินให้อภัยได้

แล้วเหตุใด ข้าพเจ้าจึงจะให้อภัยผู้ที่ทำร้ายข้าพเจ้าไม่ได้เล่า

“พระองค์ไม่ทรงปฏิบัติต่อเราตามที่บาปของเราสมควรจะได้รับ

ไม่ทรงตอบแทนเราให้สาสมกับความผิดของเรา”

(สดุดี 103:10)

.....................................