“ตราบใดที่ท่านยังมีแสงสว่าง

จงเชื่อในแสงสว่างเถิด

เพื่อท่านจะกลายเป็นบุตรของแสงสว่าง”

(ยน.12:36)

............................................

หนังสือเล่มหนึ่งมีชื่อว่า “จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด”

เขียนโดย ดร.วรภัทร์   ภู่เจริญ

กล่าวถึงมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา

ที่บางทีนอกจากไม่เคยจุดไฟตะเกียงในใจของตน

แต่ยังกลับพร่ำด่าความมืดรอบตัวเอง

กล่าวถึงบางคนที่หลงคิดว่าตนดีแล้ว

เที่ยวไปตัดสินพิพากษาคนอื่นว่าชั่ว เลว

บางคนเมื่อพบความทุกข์ก็จมอยู่กับความทุกข์

ไม่จุดไฟให้กำลังใจกับชีวิตลุกขึ้นมาสู้ใหม่

.......................................

ชายหนุ่มคนหนึ่งมักโพสต์ข้อความใน Social Media

ต่อว่าสังคม ต่อว่าคนรอบตัว

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวกลายเป็นความมืดบอดของชีวิต

เพื่อนๆใน Social Media ที่เคยมีมากมายก็ค่อยๆหายไป

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความของเขา

ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่ ขาดกำลังใจ ขาดพระพรในชีวิต

ทุกข้อความเขียนของเขาเป็นเสมือนน้ำสีดำสนิท

ที่ถูกรินรดจนท่วมใจของเขา

ไม่มีที่ว่างให้น้ำใสใสเข้าไปแทนที่ได้เลยเมื่อใจของเขาปิดตาย

มีการทดลองหนึ่งให้ข้อคิดดีดี

น้ำสีดำเต็มแก้วๆหนึ่ง ถูกแทนที่ด้วยน้ำใสสะอาด

เมื่อปากแก้วถูกเปิดออก ยอมให้น้ำใสสะอาดเข้ามาแทนที่

สีดำไม่ได้หายไปในพริบตา

มันจะถูกแทนที่ไปเรื่อยๆด้วยเวลา และความตั้งใจของผู้รินรดให้

ดวงใจมืดบอดของเราก็เช่นกัน

ให้พระคำนำชีวิตค่อยๆแทนที่

ให้แสงสว่างแห่งความรักค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในใจ

ด้วยความคิด   กิจการ และคำพูดที่เป็นพระพร

แก่คนรอบข้าง และชีวิตของตนเอง

“เพื่อท่านจะได้กลายเป็นบุตรของแสงสว่าง”

(ยน.12:36)

..................................................

“ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า

โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง”

(สดด.51:10)

..............................................

หากเมล็ดข้าว มิร่วงหล่น  บนผืนดิน

มิยอมสิ้น  สลายร่าง  ให้จางหาย

ทิ้งตัวตน  ของตน  แค่เพียงกาย

เมล็ดข้าว มากมาย  คงไม่มี

อันชีวิต  ของเรานั้น  ก็เช่นกัน

หากยึดมั่น  ในตัวตน  กันอย่างนี้

ต่างแก่งแย่ง  แข่งขันกัน  ชิงเด่นดี

แสงสว่าง ที่ใจมี  คงมอดลง

....................................................